แชร์

'วิทยา' ชี้ สิ้นเปลืองงบฯ มหาศาล แนะแก้รายมาตรา ห้ามแตะหมวด 1-2

อัพเดทล่าสุด: 30 ธ.ค. 2025
0 ผู้เข้าชม
วันที่ 10 ธันวาคม 2568 นายวิทยา แก้วภราดัย สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ได้ขึ้นอภิปรายในการประชุมรัฐสภา โดยเน้นไปที่การแปรญัตติใน มาตรา 256/3 ของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นกรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
นายวิทยา ได้ตั้งข้อสังเกตต่อการกำหนดคุณสมบัติที่มุ่งเน้นการกีดกันนักการเมืองทุกระดับ ออกจากการมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
นายวิทยา ชี้ให้เห็นว่า ร่างกฎหมายกำหนดให้ผู้ที่จะเป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญได้ จะต้องมีคุณสมบัติหลัก 3 ประการ และมีคุณสมบัติเฉพาะทางอีก 9 ประการ โดยแบ่งกลุ่มอาชีพออกเป็นหลายประเภทที่สามารถเป็น กมธ.ได้ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย นักประชาสังคม (NGO) หรือผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย (ทนายความ) โดยบางอาชีพสามารถดำรงตำแหน่งเดิมควบคู่กับการเป็น กมธ.ได้ หรือเพียงแค่ลาออกจากตำแหน่งก็สามารถสมัครได้ทันที เช่น ผู้พิพากษาและอัยการ
.
อย่างไรก็ตาม มีเพียงกลุ่มเดียวที่ถูกกำหนดคุณสมบัติอย่างเข้มงวด คือ นักการเมืองทุกประเภท ตั้งแต่รัฐมนตรี สส. สว.หรือนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งถูกกำหนดให้ ต้องพ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี จึงจะมีสิทธิ์สมัคร
.
"คนที่มีประสบการณ์มากอย่างท่านประธานหรือสมาชิกในสภานี้ ครั้งหน้าใครคิดจะไปเป็นกรรมาธิการร่าง ผิดอย่างเดียวก็คือพ้นตำแหน่งมาไม่เกิน 5 ปี เราถึงไม่กล้าให้นักการเมืองที่นั่งอยู่ในสภาลาออกไปเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ"
นายวิทยา ตั้งคำถามต่อเจตนารมณ์ของการเขียนกฎหมายที่อาจมีผลกระทบ 2 ประการ คือ 1) ผู้ร่างฯ มีความคิดเห็นว่านักการเมืองเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2) ผู้ร่างฯ เชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจพวกนักการเมือง จนไม่กล้าให้ผู้มีประสบการณ์ตรงเข้ามามีส่วนร่วม
.
นอกจากประเด็นการกีดกันนักการเมืองแล้ว นายวิทยา ยังได้ตั้งคำถามถึงกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งจะใช้งบประมาณจำนวนมาก และเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลผลิตที่ออกมาจะไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง
.
แม้ใครจะสมัครเป็น กมธ.ก็ได้ แต่ผู้มีอำนาจในการเลือก 35 คน สุดท้ายก็คือ รัฐสภาชุดหน้า ซึ่งเป็นผลผลิตที่ได้มาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ฝ่ายเสนออ้างว่าเป็น "รัฐธรรมนูญเผด็จการ"
.
นายวิทยา ชี้ว่า สภาที่อ้างว่ามาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ กลับเป็นผู้เลือกคณะกรรมการมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่อ้างว่า "ยึดโยงประชาชน"
.
นายวิทยา เสนอทางออกว่า หากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนจริง และไม่ต้องการแตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว สามารถทำได้โดยการแก้ไขทีละมาตรา ผ่านรัฐสภาชุดหน้า ซึ่งจะประหยัดงบประมาณหลายพันล้านบาท ที่สามารถนำไปใช้ชดเชยแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม หรือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนได้
นอกจากนี้ ท่านยังได้เตือนถึงกระบวนการทางกฎหมายหลังการลงมติวาระ 3 ที่อาจมีการยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ หากสมาชิกของรัฐสภา 1 ใน 10 เข้าชื่อ เนื่องจากเชื่อว่ามาตรา 256/3 ที่ว่าด้วยคุณสมบัติอาจขัดแย้งกันเองในทางปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้การประกาศใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องล่าช้าออกไปอีกอย่างน้อย 30 วัน
.
นายวิทยา สรุปปิดท้ายว่า การลงทุนมหาศาลเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ อาจกลายเป็นการ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" ที่ให้คำตอบไม่ได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมาจากประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ ในเมื่อทางเลือกในการแก้ปัญหาทีละมาตราที่ประหยัดกว่าและตรงประเด็นกว่าก็มีอยู่แล้ว

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ