รทสช. เปิดเวทีอบรมกฎหมาย! 'พีระพันธุ์' ชูแนวทางลดค่าไฟได้จริง

รทสช. เปิดเวทีอบรมกฎหมาย! 'พีระพันธุ์' ชูแนวทางลดค่าไฟได้จริง พร้อมเดินหน้า ดัน 'กองทุนฉุกเฉิน-ใช้หนี้ กยศ. ด้วยงาน' สร้างงาน 3 แสนตำแหน่ง
.
วันที่ 5 ธันวาคม 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่สมาชิกพรรคและประชาชนทั่วไป ครั้งที่ 3 โดยมีนางสาวอรัญญา มณีแจ่ม ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตจตุจักร พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงาน ณ ลานกีฬาชุมชนภักดี เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
.
นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวว่า ก่อนเข้ารับตำแหน่งรมว.พลังงาน ตนก็เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่มีข้อมูลด้านพลังงาน เชื่อว่าค่าไฟและค่าก๊าซจำเป็นต้องขึ้นราคา แต่เมื่อได้ทำงานจริงกลับพบว่าไม่เป็นความจริงเลย เพราะหากมีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง ก็สามารถตรึงราคาหรือปรับลดได้
.
“ตลอด 2 ปีที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผมไม่เคยอนุญาตให้ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะผมเห็นว่า “ไม่มีความจำเป็นจริง” หากมีการบริหารจัดการที่ดี ในอดีตราคาก๊าซมักขึ้นพร้อมค่าไฟ เพราะไฟฟ้าส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ แต่ในช่วงที่ผมดูแล ผมตรึงราคาก๊าซถุงต้มถัง 15 กิโลกรัมไว้ที่ 423 บาท มาตลอด ส่วนร้านค้าจะขายเกินราคานั้นเป็นอำนาจกำกับตรวจสอบของกระทรวงพาณิชย์”
.
นายพีระพันธุ์กล่าวถึงค่าไฟในรอบถัดไป ช่วงเดือน ม.ค.–เม.ย. 2569 ที่มีประกาศว่าจะลดเหลือหน่วยละ 3.88 บาท ว่า แม้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่ใช่ราคาที่ควรเป็น เพราะมี ‘เงินชอร์ตฟอล’ หรือเงินส่วนเกินจากการที่ ปตท. คิดราคาก๊าซแพงเกินจริง
“เวลาผมไปพูดที่ไหน ผมพูดเหมือนกันหมด เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ ค่าไฟเหมือน “ขนมชั้น” ครับ เป็นชั้น ๆ ซ้อนกัน แต่ละชั้นคือองค์ประกอบค่าไฟ เช่น ชั้นค่าก๊าซ และชั้นต้นทุนอื่น ๆ วันนี้ที่ประกาศลดค่าไฟ คือ “ลดเฉพาะค่าก๊าซ” ทำให้ค่าไฟจากหน่วยละ 3.94 บาท ลดลงเหลือหน่วยละ 3.88 บาท ลดเพียงแค่ 6 สตางค์เท่านั้น แต่ยังมีอีกชั้นหนึ่งที่ไม่ถูกแตะต้อง นั่นคือ ส่วนที่ ปตท. เคยคิดเงินประชาชนเกินไป ตั้งแต่ปี 2563–2565 ผมพบเงินส่วนต่างนี้ 4,300 ล้านบาท และสั่งยึดคืนเพื่อนำไปหักลดค่าไฟให้ประชาชนในปี 2567 ช่วงใกล้พ้นตำแหน่ง ผมตรวจพบเงินส่วนต่างอีก เป็นยอดย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563 ขึ้นไป รวมกว่า 12,000–13,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ ปตท. ขายก๊าซเกินราคา และต้องนำมาคืนให้ประชาชนอีกหน่วยละ 17 สตางค์ ดังนั้น ถ้าลดเพิ่ม 17 สตางค์จากค่าไฟจากหน่วยละ 3.88 บาท ราคาที่ควรจะเป็นจริง ๆ คือหน่วยละ 3.71 บาท เท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังไม่ถูกลดส่วนนี้ให้ประชาชน ถ้าผมยังเป็นรัฐมนตรี ผมจะลดแน่นอน”
.
นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวถึงเมื่อครั้งเคยดำรงตำแหน่งรมว.ยุติธรรม ยังเป็นผู้ริเริ่มกองทุน “กองทุนยุติธรรม” ปรับกฎหมายและแก้ระเบียบให้เงินกองทุนช่วยประชาชนได้จริง นำเงินกองทุนไปช่วยชาวนาที่ถูกโกง ไม่ได้เงินจากการขายข้าว แทนที่ชาวนาต้องจ่ายค่าทนาย หลังจากรัฐสู้คดีชนะ เงินก็กลับเข้าสู่กองทุน กลายเป็นวิธีช่วยประชาชนได้มากที่สุด และได้สะท้อนมายังภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนหาเช้ากินค่ำ “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” และต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ จึงเห็นว่ารัฐบาลต้องเป็นที่พึ่งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอม หรือรายจ่ายเร่งด่วน ตนเคยหารือกับกระทรวงการคลังตั้งแต่รัฐบาลก่อน เพื่อจัดตั้ง “กองทุนฉุกเฉินสำหรับประชาชน” ให้เข้าถึงเงินได้ง่าย ไม่ซับซ้อนแบบระบบธนาคาร และเป็นเงินหมุนเวียนที่รัฐช่วยเหลือเมื่อประชาชนเดือดร้อนจริง ตนขอเสนอแก้กฎหมายงบประมาณ เพื่อให้รัฐสามารถกันงบไปจ้างงานประชาชนโดยตรง คาดว่าจะสร้างตำแหน่งงานได้อย่างน้อย 300,000 ตำแหน่ง ยกตัวอย่าง เช่น การจ้างผู้สูงอายุในงานที่ไม่ใช้แรงงานหนัก พร้อมให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่เอกชนที่รับผู้สูงอายุเข้าทำงาน
.
นายพีระพันธุ์ กล่าวย้ำว่า กฎหมายงบประมาณปัจจุบันเอื้อเฉพาะหน่วยราชการ แต่ไม่กำหนดภาระหน้าที่ในการสร้างงานหรือให้ความช่วยเหลือประชาชน จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพื่อนำงบประมาณมาใช้ตั้งกองทุนฉุกเฉินและโครงการจ้างงานอย่างเป็นรูปธรรม
.
นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังได้กล่าวถึง ปัญหาหนี้ กยศ. โดยเสนอนโยบายแก้กฎหมายให้ผู้กู้ที่เรียนจบแต่ไม่มีงานทำ หรือมีภาระครอบครัว สามารถ “ทำงานใช้หนี้” ผ่านการบริการสังคม ดูแลผู้ป่วยติดเตียง หรือคนพิการในชุมชน แทนการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อให้รัฐได้กำลังคนดูแลสังคมและประชาชน เพราะในปัจจุบันปัญหาคือเมื่อจบการศึกษา บางคนไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ รัฐบาลจึงเหมารวมว่าทุกคนไม่จ่าย จึงดำเนินคดีฟ้องร้องโดยไม่แบ่งแยก ในความจริง มี 3 ประเภทที่ไม่จ่าย คือ 1. กลุ่มตั้งใจโกง คือเรียนจบ มีงานทำ มีรายได้แต่ไม่จ่าย ต้องฟ้องจริงจัง 2. กลุ่มที่จบแต่ไม่มีงานทำ ไม่สามารถชำระหนี้ได้ 3. กลุ่มที่มีงานทำ แต่มีภาระต้องดูแลครอบครัว ป่วย หรือคนพิการ จึงไม่มีเงินพอจ่ายหนี้ กลุ่มที่ 2 และ 3 ไม่ควรถูกฟ้องหรือดำเนินคดี เพราะพวกเขาไม่ได้ตั้งใจโกง
“นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือจะปรับแก้กฎหมายให้สามารถ “ใช้หนี้ด้วยงาน” แทนการฟ้องร้อง เราจะเปิดโอกาสให้คนที่ติดหนี้ สามารถทำงานชุมชน หรือช่วยดูแลผู้สูงอายุ เด็กพิการ คนป่วยติดเตียง ในชุมชนแทนการจ่ายหนี้ วิธีนี้ช่วยให้ทั้งรัฐได้กำลังคนมาช่วยดูแลประชาชน และประชาชนก็ไม่ถูกดำเนินคดี”
.
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า ยังมีเรื่องดี ๆ อีกหลายเรื่องที่ตนอยากดำเนินการ เพื่อทำให้รัฐบาลและการเมืองเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่มาหาเสียงแล้วไม่ทำอะไร
“นี่คือเหตุผลที่ผมก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติมา 4 ปี และจะเดินหน้าต่อไป เพื่อทำงานเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง ผมตั้งใจจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่เข้ามาทำงานเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง เหมือนที่ผมทำมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน เพื่อให้เรากลับเข้าไปทำงาน และแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว
.
ด้าน นายอรรถวิชช์ได้ร่วมบรรยายในเรื่องของกฎหมายโซลาร์เสรี ที่จะช่วยให้ประชาชนลดค่าใช้จ่าย พร้อมยืนยันว่า หากพรรครวมไทยสร้างชาติกลับมาบริหารประเทศ จะเดินหน้าผลักดันกฎหมายโซลาร์เสรี พร้อมปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน ทั้งค่าไฟและน้ำมัน ตามแนวทางของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
.
สำหรับ นายนราพัฒน์ กล่าวถึงการเกษตรแบบแบ่งปัน โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ควรทำเป็นแนวตั้ง หรือการปลูกพืชผักสวนครัวแบ่งปันกันในชุมชน พร้อมผลักดันสมาคมรถซาเล้งหรือผู้ค้าของเก่า ซึ่งในสมัยก่อนจะถูกชาวบ้านเข้าใจผิดว่าจะมาลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่งพร้อมจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งต่อไป
.
ในช่วงท้าย นายพีระพันธุ์ ได้เข้ารับเรื่องร้องเรียน จากพี่น้องชุมชนเจริญชัย ต้องเผชิญ ผลกระทบจากโครงการทางด่วน 2 ชั้น ซึ่งหลายครั้งถูกผลักดันโดยกลุ่มทุน ทั้งที่ EIA ครั้งแรกไม่ผ่าน และชุมชนคัดค้านมาตลอด จึงขอให้ช่วยตรวจสอบและผลักดันให้เกิดความเป็นธรรม