'ปุญณัฐส์' แนะผนึก 3 เหล่าทัพเปิดปฏิบัติการ 'ยึดจุดสำคัญ ก่อนเจรจา'
อัพเดทล่าสุด: 30 ธ.ค. 2025
0 ผู้เข้าชม

‘กัปตันตุ้ย - ปุญณัฐส์’ เชียร์ ‘ทัพฟ้า’ จบเกมรบกัมพูชา ‘เร็ว-รุนแรง-เด็ดขาด’ แนะผนึก 3 เหล่าทัพเปิดปฏิบัติการ ‘ยึดจุดสำคัญก่อนเจรจา’ เร่งปิดฉากสู้รบภายในสิ้นปี สร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน
.
วันที่ 14 ธันวาคม 2568 นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ นำพา หรือ ‘กัปตันตุ้ย’ รองเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนักบินขับไล่ประจำการ กองบิน 21 อุบลราชธานี วิเคราะห์ถึงยุทธศาสตร์การใช้กำลังทางอากาศของกองทัพอากาศไทยในการรักษาอธิปไตยไทยในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า ในการสู้รบ ผู้ใดครองอากาศได้ ผู้นั้นจะชนะ ดังนั้นหากมองยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศไทยในปัจจุบันจะพบว่ามีความถูกต้องเหมาะสม ทั้งในมิติของขนาดกำลังพลและศักยภาพอาวุธที่นำมาใช้ เพราะหัวใจสำคัญของกองทัพอากาศคือการรุกเข้าไปในพื้นที่และทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญของฝ่ายตรงข้าม เพื่อตัดแหล่งเสบียงหรือคลังแสงของกองทัพกัมพูชา
.
นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ กล่าวต่อว่า กองทัพอากาศต้องทำงานร่วมกับกองทัพบกและกองทัพเรือให้เข้มข้น เพื่อเร่งปฏิบัติการให้รวดเร็ว เด็ดขาด และรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมองว่าการสู้รบต้องจบภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ความขัดแย้งยุติลงโดยเร็วที่สุด เนื่องจากความสูญเสียนั้นมีค่าสูง ทั้งชีวิตพลทหาร เศรษฐกิจ สังคม และขวัญกำลังใจของประชาชนที่เป็นสิ่งสำคัญ
.
นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ ยืนยันว่า กองกำลังทางอากาศของไทยนั้นมีความรุนแรงและมีอำนาจทำลายล้างสูง แต่การใช้ยุทธวิธีจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและพอเหมาะพอควร โดยไม่ทำตามเสียงเชียร์ของสังคมให้ใช้กำลังเกินความจำเป็น เนื่องจากต้องยึดถือกฎของการปะทะและกฎของการทำสงครามอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพลเรือน ดังนั้นเป้าหมายการโจมตีของกองทัพอากาศจึงจำกัดอยู่เพียงแค่กำลังทหารแนวหน้าหรือจุดยุทธศาสตร์เท่านั้น
.
ในส่วนของยุทธศาสตร์ในการสู้รบ นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ ได้กล่าวว่า การเข้ายึดพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หรือหัวใจสำคัญแล้วค่อยเปิดฉากเจรจา การดำเนินการเช่นนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้าศึกจะไม่กลับเข้ามาในพื้นที่ของเราอีก และนี่ไม่ใช่การรุกล้ำอธิปไตย แต่เป็นการทำลายจุดยุทธศาสตร์ที่ขยายออกไปไกลกว่าแนวสมรภูมิ เพื่อใช้เป็นแต้มต่อสำคัญในการเจรจาอย่างราบรื่นต่อไป
.
นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ ชี้ให้เห็นอีกว่า กองทัพอากาศไทยเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ เพราะในการสู้รบ กองทัพอากาศประกอบด้วยภารกิจที่หลากหลาย ไม่ได้มีเพียงเครื่องบินขับไล่ F-16 หรือกริพเพน (Gripen) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเฮลิคอปเตอร์สำหรับภารกิจกู้ชีพนักบิน (Air Evacuation) ในกรณีที่เครื่องบินของไทยถูกยิงตก และเครื่องบินตรวจการณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำการถ่ายภาพทางอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งข้อมูลให้ศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศออกคำสั่งในการสู้รบ
.
“กองกำลังทางอากาศของกัมพูชาอยู่ในสถานะ ‘ไม่มีอำนาจต่อกร’ กับกองทัพอากาศไทย เพราะไม่มีแม้แต่เครื่องบินสกัดกั้น ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไปใช้โดรนซึ่งต้องพึ่งพาพลทหารรับจ้างในการควบคุม อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศไทยก็มีการเตรียมรับมือด้วยการใช้อาวุธลับบางอย่างเพื่อสกัดกั้นการรุกคืบทางอากาศต่อไป” นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ กล่าว
.
วันที่ 14 ธันวาคม 2568 นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ นำพา หรือ ‘กัปตันตุ้ย’ รองเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนักบินขับไล่ประจำการ กองบิน 21 อุบลราชธานี วิเคราะห์ถึงยุทธศาสตร์การใช้กำลังทางอากาศของกองทัพอากาศไทยในการรักษาอธิปไตยไทยในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า ในการสู้รบ ผู้ใดครองอากาศได้ ผู้นั้นจะชนะ ดังนั้นหากมองยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศไทยในปัจจุบันจะพบว่ามีความถูกต้องเหมาะสม ทั้งในมิติของขนาดกำลังพลและศักยภาพอาวุธที่นำมาใช้ เพราะหัวใจสำคัญของกองทัพอากาศคือการรุกเข้าไปในพื้นที่และทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญของฝ่ายตรงข้าม เพื่อตัดแหล่งเสบียงหรือคลังแสงของกองทัพกัมพูชา
.
นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ กล่าวต่อว่า กองทัพอากาศต้องทำงานร่วมกับกองทัพบกและกองทัพเรือให้เข้มข้น เพื่อเร่งปฏิบัติการให้รวดเร็ว เด็ดขาด และรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมองว่าการสู้รบต้องจบภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ความขัดแย้งยุติลงโดยเร็วที่สุด เนื่องจากความสูญเสียนั้นมีค่าสูง ทั้งชีวิตพลทหาร เศรษฐกิจ สังคม และขวัญกำลังใจของประชาชนที่เป็นสิ่งสำคัญ
.
นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ ยืนยันว่า กองกำลังทางอากาศของไทยนั้นมีความรุนแรงและมีอำนาจทำลายล้างสูง แต่การใช้ยุทธวิธีจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและพอเหมาะพอควร โดยไม่ทำตามเสียงเชียร์ของสังคมให้ใช้กำลังเกินความจำเป็น เนื่องจากต้องยึดถือกฎของการปะทะและกฎของการทำสงครามอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพลเรือน ดังนั้นเป้าหมายการโจมตีของกองทัพอากาศจึงจำกัดอยู่เพียงแค่กำลังทหารแนวหน้าหรือจุดยุทธศาสตร์เท่านั้น
.
ในส่วนของยุทธศาสตร์ในการสู้รบ นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ ได้กล่าวว่า การเข้ายึดพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หรือหัวใจสำคัญแล้วค่อยเปิดฉากเจรจา การดำเนินการเช่นนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้าศึกจะไม่กลับเข้ามาในพื้นที่ของเราอีก และนี่ไม่ใช่การรุกล้ำอธิปไตย แต่เป็นการทำลายจุดยุทธศาสตร์ที่ขยายออกไปไกลกว่าแนวสมรภูมิ เพื่อใช้เป็นแต้มต่อสำคัญในการเจรจาอย่างราบรื่นต่อไป
.
นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ ชี้ให้เห็นอีกว่า กองทัพอากาศไทยเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ เพราะในการสู้รบ กองทัพอากาศประกอบด้วยภารกิจที่หลากหลาย ไม่ได้มีเพียงเครื่องบินขับไล่ F-16 หรือกริพเพน (Gripen) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเฮลิคอปเตอร์สำหรับภารกิจกู้ชีพนักบิน (Air Evacuation) ในกรณีที่เครื่องบินของไทยถูกยิงตก และเครื่องบินตรวจการณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำการถ่ายภาพทางอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งข้อมูลให้ศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศออกคำสั่งในการสู้รบ
.
“กองกำลังทางอากาศของกัมพูชาอยู่ในสถานะ ‘ไม่มีอำนาจต่อกร’ กับกองทัพอากาศไทย เพราะไม่มีแม้แต่เครื่องบินสกัดกั้น ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไปใช้โดรนซึ่งต้องพึ่งพาพลทหารรับจ้างในการควบคุม อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศไทยก็มีการเตรียมรับมือด้วยการใช้อาวุธลับบางอย่างเพื่อสกัดกั้นการรุกคืบทางอากาศต่อไป” นาวาอากาศตรี ดร. ปุญณัฐส์ กล่าว


